บทนำ
ประเทศจีน มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเยาวชนของชาติ มีการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยไม่มีการแข่งขันหรือแตกแยกกันในทางความคิดเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาหรือวิธีการจัดการศึกษาเป็นอย่างอื่น ชาวจีนมีความเชื่อมั่นว่าเด็กชาวจีนทุกคนจะต้องได้รับการเตรียมตัว เพื่อโลกแห่งการทำงาน และเพื่อชีวิตที่ต้องเพิ่งตนเองต่อไป ทุก ๆ เช้าเด็กอนุบาลที่โตหน่อยก็จะต้องทำความสะอาดเด็กเล่น รดน้ำต้นไม้
ซักผ้าเช็ดของตน และทำงานอื่นๆ
แล้วจะมีอะไรให้ทำ
ในปี ค.ศ. 1977
ผู้อำนวยการของโรงเรียนอนุบาลแบบอยู่ประจำเปไห่ในปักกิ่งได้กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการปฏิวัติวัฒนธรรม จีนจัดอันดับความสำคัญของสติปัญญาไว้เป็นอันดับแรก พ่อแม่จะเลี้ยงดูลูกให้มีสุขภาพแข็งแรง โดยไม่สนใจกับความเชื่อในลัทธิการเมืองใด ๆ
ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเด็ก ๆ ดื่ม น้ำชาจากชุดชา
ครูจะสนทนากับเด็กเกี่ยวกับกิจกรรมนั้นเพื่อพัฒนาภาษาพูดและสติปัญญาของเด็ก แต่ในปัจจุบันนี้การสนทนาจะเกี่ยวกับ “ถ้วยชาที่ผลิตขึ้นโดยแรงงานของ “ลุง” หรือ
“ป้า” กรรมกร
เป็นการชักจูงไปถึงการทำงานหนักตั้งแต่การรวบรวมดินเหนียวมาเพื่อจะปั้นให้เป็นถ้วยชามต่าง
ๆ สำหรับเด็ก ๆ
เหล่านี้การศึกษาไม่ได้แยกประสบการณ์จากชีวิตจริงออกจากการต่อสู้ระหว่างชนชั้นเลย
แม้ในบทเพลงหรือบทกวีต่าง
ๆ ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นนี้ดังตัวอย่าง
“ใคร
ๆ เรียกฉันว่า ทหารตัวน้อย
ฉันต้องการจะร่วมในการปฏิวัติ แม้ฉันจะยังเด็กก็ตาม
ฉันต้องการจะเป็นกรรมกร ชาวนา
หรือไม่ก็ทหารเมื่อฉันโตขึ้น”
“รถคันเล็กของฉันสวยเหลือเกิน
ฉันบีบแตรเล่นเป็นระยะ
ๆ
ฉันคือพลขับตัวน้อยของขบวนการปฏิวัติ”
ประวัติความเป็นมา
จีนได้พัฒนาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ประณีตงดงามมากว่าระยะเวลา 2,000 กว่าปีของยุค
อารยธรรมรุ่งเรือง
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เมื่อเวลาล่วงมาถึงศตวรรษนี้ มีประชากรเพียงส่วนน้อยนิด
เท่านั้นที่ยังคงรักษาธรรมเนียมประเพณีเก่า ๆ เหล่านี้ไว้ได้ ซึ่งก็คือพวกคหบดีในชนบทเท่านั้น ระบบการให้ความรู้ก็คือการสืบเนื่องวัฒนธรรมที่เป็นมรดกสืบทอดกันมาวัฒนธรรมเหล่านี้ล้วนมีจุดรวมอยู่ที่คำสั่งสอนของท่านขงจื้อ
ข้อเขียนที่มีคุณค่าของบรรพชนและประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองของมหาอาณาจักรจีน
สังคมในยุคที่ผ่านมาจะเป็นรูปแบบของการพยายามที่จะทะนุบำรุงรักษาวัฒนธรรมเหล่านี้ไว้มากกว่าจะคิดพัฒนาให้เหมาะสมขึ้น
ชาวจีนในยุคก่อนได้ศึกษาเล่าเรียนจากคัมภีร์เขียนจากกระดาษที่ทำจากเยื่อไผ่
เขาเหล่านั้นได้รับการฝึกฝนจิตใจให้มั่นคงในความดีงาม และรู้จักการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ โดยการฟังคำสั่งสอนและดูตัวอย่างจากผู้อาวุโส
เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้ขึ้นมามีอำนาจในปี 1949
จีนมีอัตราผู้รู้หนังสือทั้งหมดเพียง
20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเหตุผลว่าก่อนหน้าปี 1949
นั้น จำนวนโรงเรียนมีน้อยกว่า 40
เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเด็กในวัยเรียนทั้งหมด
ดังนั้นงานเร่งด่วนของคณะรัฐบาลใหม่ก็คือ
การขยายระบบการศึกษาออกไปเพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือ
และเพื่อผลิตกรรมกรที่ชำนาญงานและบุคลากรมืออาชีพที่จะมาช่วยกันพัฒนาเศรษฐกิจในสังคมในขณะนั้น
วันที่ 1
ตุลาคม 1951
คณะกรรมการบริหารของรัฐบาลแห่งประชาชาติได้ตรากฎหมาย เพื่อ
“พิจารณาการปฏิรูปการศึกษา”
และได้จัดระบบการศึกษาใหม่สำหรับประชากรของสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น
เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของระบบการศึกษาของประเทศจีนต่อมา
ภายใต้กฎหมายใหม่นี้ กิจกรรมทุกประเภทเกี่ยวกับการเรียนการสอนทุกระดับตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปจนถึงมหาวิทยาลัย
ก็ได้รับการปรับให้มีลักษณะเป็นลักษณะเดียวกันเป็นหนึ่งเดียว
การศึกษาในระดับอนุบาล ซึ่งมีมาก่อน ค.ศ. 1949
นั้น มีลักษณะเป็นการศึกษา 2
ปี สำหรับเด็กตั้งแต่ 4
ขวบไปจนถึง 6 ขวบ
หลังจากนั้นจึงมรการขยายออกไปอีก
1 ปีเพื่อรับเด็กจนถึงอายุ 7
ขวบ
ซึ่งจะไปต่อเข้าโรงเรียนประถมศึกษาได้พอดี
จีนใช้คำเรียกการเลี้ยงดูเด็กแบบบริบาล ว่า “โต –เอห์– โซ” ( ศูนย์ฝากเลี้ยงเด็ก ) ซึ่งหมายถึงสถานที่ที่ผู้ปกครองไว้ในมอบหมายให้เลี้ยงดูลูกของตน
ความต้องการสำหรับสถานที่สำหรับสถานที่ลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น เมื่อพ่อแม่จำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้านหมดทำให้ต้องมองหาใครที่จะมาช่วยดูแลเด็กแทน ก่อนปี
1949
มีสถานเลี้ยงเด็กแบบนี้อยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
แต่หลังจากการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเพียงไม่เท่าไหร่
ก็มีสถานเลี้ยงเด็กผุดขึ้นมาเป้นดอกเห็ดและแพร่ขยายจากในตัวเมืองออกไปถึงชนบทอย่างทั่วถึง
ปรัชญาการศึกษา
จีนได้ตั้งจุดประสงค์ของการศึกไว้ 3
ข้อคือ
1.
ให้สนองอุดมคติที่เปลี่ยนแปลงไปของประชาชนจีน
วิธีการที่ใช้คือใช้อิทธิพลของพรรคเข้าควบคุมและปลุกระดมให้ซาบซึ้งถึงอุดมการณ์ของพรรค จะเห็นได้อย่างชัดเจนจากเนื้อเพลงเด็กที่เขียนไว้ตอนต้น เด็ก ๆ
จะไม่เพียงแต่ร้องเพลงสรรเสริญท่านประธานเหมาเจ๋อตุงเท่านั้น
แต่ยังจะต้องร้องเพลงแสดงความเกลียดชังและสาปแช่งทุกคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามด้วย มีการแสดงท่าทางประกอบ เช่น
การชูกำปั้น และการขู่เข็ญจะยิงเครื่องบินของจักรวรรดินิยมอเมริกาให้ร่วงหล่น รวมทั้งใช้ปืนเด็กเล่นทำด้วยไม้แสดงท่าล้อเลียนดูถูกทหารอเมริกันตั้งแต่นายพลขึ้นไปถึงประธานาธิบดี
2. ให้สนองตอบนโยบายประหยัดของชาติ โดยใช้แรงงานคนให้เกิดผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ โรงเรียนจะต้องสอนให้นักเรียนตั้งแต่ในระดับก่อนวัยเรียนเข้าใจซึมซาบและมีความยินดีที่จะเป็นแรงงานให้แก่ประเทศชาติของตน
3.
ให้การศึกษาสอดคล้องกับการดำรงชีวิตของมวลชน โดยพัฒนาหลักสูตรให้เข้ากับท้องถิ่น
โยใช้งบประมาณและแหล่งทรัพยากรในท้องถิ่นทุกระดับและมาตรฐานการครองชีพ
เพื่อให้ตอบสนองความต้องการและความสามารถของท้องถิ่นนั่นเอง
นอกเหนือจากจุดประสงค์ในการจัดการศึกษาทั้ง 3
ประการนี้แล้วเด็ก ๆ
ยังได้รับการย้ำให้ซึบซับถึงความทุกข์ยากและความขมขื่นในช่วงเวลาก่อนการปฏิวัติอยู่ตลอดเวลา ถ้าใครเกิดบ่นไม่พอใจที่ต้องใช้เสื้อผ้าเก่า
ๆ ขาด ๆ
ก็จะถูกอบรมให้รู้จักมีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่โดยการเล่าถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในสมัยก่อน
ๆ
แล้วก็จะได้รับฟังเรื่องเกี่ยวกับวีรบุรุษต่าง ๆ
แห่งการฟื้นฟูสังคมยุคใหม่
ให้เกิดความซาบซึ้งในความกล้าหาญและอดทนของวีรชนเหล่านั้น
นอกจากนั้นยังได้มีการย้ำเน้นความสำคัญของการทำงานเป็นทีม
พลังกลุ่มและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เด็ก ๆ จะถูกสอนว่ามิตรภาพนั้นสำคัญยิ่งกว่าการแข่งขันเพื่อเอาชนะกันอย่างเช่น เด็กกลุ่มหนึ่งอาจจะช่วยกันวาดรูประบายสี เด็กบางคนอาจจะระบายสีพื้นหลังบางคนอาจจะวาดรูปต้นหญ้าหรือวิว หรือรูปคน
ช่วยกันวาดให้เสร็จเป็นงานของกลุ่มที่ทุกคนมีส่วนช่วยกันทำ
เด็ก ๆ
จะมีโอกาสได้ออกไปศึกษานอกสถานที่
ในโรงเรียน หรือในชนบทต่าง ๆ
เขาจะได้ไปดูและสังเกตการทำงานในทุ่งนาของพวกชาวนาที่ยากจน และมีความเป็นอยู่ในระดับต่ำ
ได้สังเกตการทำงานที่ต้องอดทนแต่ทุกคนก็ก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่ปริปากบ่น ผลที่ได้ก็คือ
เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ที่จะมุ่งความสนใจไปยังสังคมส่วนรวมมากกว่าจะคิดถึงแต่เรื่องของตนเอง
การศึกษาในระบบคอมมิวนิสต์จีนได้ประมวลแนวคิดไว้ดังนี้ :
ชีวิตที่ให้ความร่วมมือเป็นรากฐานของสังคม
เช่นเดียวกับเอกัตบุคคลเป็นรากฐานของจักรวรรดินิยม
การเป็นตัวของตัวเองจะต้องถูกทำลายไปเพื่อให้สังคมนิคมเข้ามาแทนที่ ความเป็นตัวเอง ความนิยมในเอกลักษณ์ของตนเอง การบุชาวีรบุรุษตามความพอใจของตน การฝึกหรือแนะให้คนเคารพเหตุผลของตนเองเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสังคมของคอมมิวนิสต์จีนทั้งสิ้น
การให้ความร่วมมือในสังคมเริ่มขึ้นด้วย การจัดสถานเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล
การจัดงานวันเกิดซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชื่นชอบกันมากในโรงเรียนอนุบาลที่ฮ่องกง จะไม่มีทางได้จัดอย่างเด็ดขาดในโรงเรียนอนุบาลที่ประเทศจีนเพราะที่นั่นกิจกรรมนี้ถือว่าเป็นเรื่องของตนเองไม่มีความสำคัญอะไร แต่ชาวจีนไม่ว่าเด็กหรือคนหนุ่มสาว เฒ่าแก่
จะร่วมใจอย่างพร้อมเพรียงกันในการฉลองวันสถาปนาของสถาปนาของสถาบันสังคมที่ยิ่งใหญ่ต่าง
ๆ การครบรอบปีของการปฏิวัติ
การครบรอบปีของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์
กองทัพปลดแอก
นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก เด็ก ๆ
จะถูกเลี้ยงดูขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอันยิ่งใหญ่
และมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความเป็นอยู่ของสังคมนั้น พวกเขาจะเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่า ตนนั้นเป็นของสังคมสาธารณรัฐมากกว่าเป็นของครอบครัวของตนเอง
สถานเลี้ยงดูเด็กและโรงเรียนอนุบาลได้ระบบได้ระบุจุดประสงค์เอาไว้อย่างชัดแจ้ง
นอกเหนือจาการให้การเลี้ยงดูแทนพ่อแม่ที่ออกไปทำงานแล้วโรงเรียนมีความประสงค์จะพัฒนาเด็กชายและเด็กหญิงเหล่านี้ให้เติบโตขึ้นมาเพื่อร่วมโครงการปฏิวัติในพื้นที่ใกล้เคียงหรือเหล่าโรงงานอุตสาหกรรมต่าง
ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลให้จุดประสงค์ดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลและโปรแกรมนี้มีประสิทธิภาพ
ซึ่งก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดความต้องการเร่งด่วนในอันที่จะขยายการตั้งสถานเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาลออกไปให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้
โครงสร้างและการขยายตัว
โครงสร้าง
ในระยะของการศึกษาก่อนวัยเรียนนั้น
มีสถานเลี้ยงเด็กที่รับดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 4-5 ขวบ
ต่อจากนั้นจึงเข้าโรงเรียนอนุบาลอีก 2-3 ปี
การศึกษาในระบบโรงเรียนเริ่มตั้งแต่เมื่อเด็กอายุได้ 7
ขวบ
จะเข้าโรงเรียนประถมศึกษาและจบชั้นประถมศึกษาเมื่ออายุประมาณ 13
ปี
ตามปกติแล้วส่วนใหญ่นักเรียนจะเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาอีก 6
ปี
การขยายตัว
การศึกษาก่อนวัยเรียนในประเทศจีนอาจจะแบ่งได้เป็น 2
ระยะคือระยะก่อนปี ค.ศ. 1958 และระยะหลังปี ค.ศ. 1958
การศึกษาระดับอนุบาลและการศึกษาก่อนวัยเรียนไม่เป็นที่นิยมกันนักในประเทศจีน สถิติเกี่ยวกับพัฒนาการของการศึกษา 2
ระดับนี้ แสดงว่าแม้ในปี ค.ศ.
1957 ในจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 7
ขวบประมาณ 140,000 – 150,000
คนนั้น ก็มีเพียง 1,000 คนเท่านั้น
ที่ได้เข้าเรียนในสถาบันศึกษาที่ตั้งขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว
ตัวเลขเหล่านี้ได้มาจากสถานเลี้ยงเด็กแถบชานเมืองซึ่งก่อตั้งขึ้นและดำเนินการโดย โรงงานอุตสาหกรรม เหมืองแร่
รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐ จุดประสงค์ใหญ่ก็คือ เพื่อช่วยบรรดามารดาทั้งหลายให้ออกไปทำงานได้ ดังนั้นแม้ว่าบางครั้งสถานที่เหล่านี้
จะตั้งอยู่ในที่ดินของหน่วยงานที่บรรดามารดาเหล่านั้นทำงานอยู่
ในระหว่างที่การขยายตัวทางด้านนี้กำลังดำเนินไปอย่างช้า
ๆ นั้น
ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับ
ความขาดแคลน ทางด้านตัวบุคคลที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมมาร่วมงานในสถาบันการศึกษาก่อนวัยเรียนนี้
ครูส่วนใหญ่ก็ได้แก่พวกแม่บ้านหรือมิฉะนั้นก็พวกเด็กสาว ๆ
ที่ได้รับการฝึกฝนมาในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามในโรงเรียนอนุบาลที่เด่น ๆ
ก็พยายามที่จะให้ได้มีการฝึกเพิ่มเติมในวิชาอื่น ๆ ด้วย เช่น พลศึกษา
การสอนภาษา
ความรู้เกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ ศิลปศึกษา
ดนตรี และคณิตศาตร์
ในปี ค.ศ.1958
มีรายงานว่าจำนวนเด็กที่มาสมัครเข้าเรียนในระดับอนุบาลมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 30
เท่าของปีที่ผ่านมาในขณะที่จำนวนเด็กในสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5
แสนคน เป็นมากกว่า 47 ล้านคน แต่การโฆษณาของพรรคอมมิวนิสต์กลับรายงานไปในทางตรงกันข้ามว่า
จำนวนนักเรียนในปี ค.ศ. 1958 ไม่สามารถเทียบกับจำนวนในปี
1957 ได้เลย และจะต้องพิจารณาเป็นปีๆไป
การขยายตัวนี้เกอดขึ้นพร้อมๆ กับนโยบายก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกับการก่อตั้งระบบคอมมูนและนโยบายการพยายามดึงดูดคนเข้ามาในสถาบันแรงงาน
จำนวนพวกผู้หญิงในเขตเมืองที่เข้าไปทำงานทั้งในไร่และสำนักงานมีเพิ่มมากขึ้นทุกที
และในชนบทองพวกผู้หญิงก็ถูกบังคับทางอ้อมจากการที่พวกผู้ชายถูกเกณฑ์แรงงานไปสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ
สร้างถนนหรืองานอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน
ผู้หญิงจึงต้องมีบทบาทและความรับผิดชอบมากขึ้นในการกสิกรรม
ในขณะที่แต่เดิมมาพวกผู้หญิงเพียงแต่ช่วยตามฤดูกาล หรือช่วยกิจกรรมพิเศษอื่นๆ
และดูแลเด็กๆในหน้าเพาะปลูกหรือเกี่ยวข้าวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันคอมมูนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกสำหรับเด็กๆ
ที่อายุยังไม่ถึงวัยเรียนด้วย เพื่อให้มารดาไปทำงานได้
จะเห็นได้ว่า
การจัดอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนเช่นนี้จะมีมีการขยายตัวในเมืองใหญ่ก็จริง
แต่จำนวนนี้จะท่วมท้นจะเกิดขึ้นในชนบท เด็กเป็นจำนวนมากจะได้รับความดูแลจากหญิงสูงอายุหรือเด็กสาวที่มีตั้งแต่ยังไม่รู้หนังสือ
ไปจนถึงรู้ครึ่งๆกลางๆ
ในขณะที่พวกมารดาทั้งหลายไปทำงานในทุ่งนา
ทำให้เด็กๆอาจจะได้เรียนรู้อะไรบ้างเล็กๆน้อยๆ หรือบางทีก็ไม่ได้เรียนเลย
เด็กเหล่านี้จะถูกจัดแบ่งออกเป็นกลุ่มๆละ 45 คน
และมีผู้ดูแลกลุ่มละ 2 คน ตามสถิติที่รายงานไว้
การบริหาร
สถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยบางแห่งอำนวยการโดยสภาประชาชนแห่งท้องถิ่น
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะดำเนินการโดย คอมมูนต่างๆ ในชนบท โรงงานในเขตเมือง สำนักงานต่างๆ
โรงงานอุตสาหกรรม หรือเขตที่อยู่อาศัย แต่ไม่ว่าจะดำเนินการโดยฝ่ายใดก็ตาม จะต้องปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการที่ออกมาบังคับใช้ทั้งสิ้น
คณะปฏิวัติ
เป็นผู้ควบคุมดูแลจังหวัด เมือง โรงเรียน มหาวิทยาลัย คอมมูน
กลุ่มวัฒนธรรมและองค์การเกือบทุกประเภทในประเทศจีน คณะปฏิวัตินี้ประกอบด้วย กรรมการชาวนาในชนบท นักบริหาร
และสมาชิกจากกองทัพประชาชน
อย่างไรก็ดีกระรวงศึกษาธิการก็ยังเป็นผู้ควบคุมเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง
การบริการต่างๆ ในสถานเลี้ยงเด็กและอนุบาล
นอกจากนั้นยังดูแลควบคุมเกี่ยวกับคุณสมบัติของครูและผู้บริหารโรงเรียนด้วยเช่นเดียวกัน
การอำนวยความสะดวก
หญิงมีครรภ์จะได้ลดงานลงจาก 8 ชั่วโมง เป็น
7 ชั่วโมงต่อวัน เมื่อตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน
และจะมีสิทธิลาหลังคลอดได้ 56 วัน
แต่อัตรานี้ก็จะไม่แน่นอนตายตัว อาจมีการปรับเปลี่ยนได้
ถ้าการคลอดไม่เป็นไปตามปกติหรือมารดาคลอดลูกแฝด ในระหว่างการทำงานมารดาจะได้รับอนุญาตให้พักได้ครึ่งชั่วโมงเพื่อไปดูแลลูกในสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน
ประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่
สถานการณ์เกี่ยวกับการเลี้ยวดูเด็กจึงแตกต่างกันออกไปในส่วนต่างๆ ของประเทศ
ตามปกติแล้วเด็กๆจะถูกทิ้งให้อยู่กับย่าหรือยายที่บ้าน แต่ถ้าที่บ้านไม่มีคนแก่และมารดาของเด็กต้องไปทำงานในโรงงาน
มารดาเหล่านั้นก็จะนำเด็กไปไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กของโรงานที่ตนทำงานอยู่ตั้งแต่อายุได้ประมาณ 8 สัปดาห์ เช้าขึ้นพอไปถึงก็เอาเด็กไปฝากไว้ที่นั่น
พอเย็นเลิกงานก็ไปรับลูกกลับบ้าน ถ้าครอบครัวไหนอยู่ไกลจากโรงงานมาก ไม่สะดวกที่จะไปรับเด็กพากลับบ้านทุกวัน
พ่อแม่ก็สามารถฝากลูกไว้ที่สถานที่เลี้ยงเด็กแบบกินนอนให้อยู่ไปในระหว่างวันที่ทำงาน
พอเย็นวันเสาร์หรือวันหยุดก็รับกลับบ้านได้
สถานเลี้ยงเด็กแบบกินนอนนี้
มักจะดัดแปลงจากบ้านหลังใหญ่ๆที่เจ้าของไม่อยู่แล้ว เป็นบ้านประเภทที่มีห้องเล็กๆ
หลายห้องล้อมรอบสนามแบบเดียวกับบ้านในเมืองที่มีคนอาศัยอยู่หลายครอบครัวและใช้สนามกลางร่วมกัน
นอกจากคนดูแล คนครัว พยาบาลและคนอำนวยความสะดวกอื่นๆ แล้ว ยังมีครู 1 คน ประจำดูแลเด็กอายุระหว่าง 3 ขวบครึ่งถึง 5 ขวบ กลุ่มละ 7-8 คนอีกด้วย
ตัวอาคารสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ
ขึ้นอยู่กับความร่ำรวยขององค์การที่รับผิดชอบ
และความนึกคิดและจินตนาการของกลุ่มครู
บางแห่งชั้นอนุบาลจะมีตึกเป็นของตนเองทั้งหลัง แต่บางแห่งก็จัดเป็นห้อง 2-3 ห้อง
รวมอยู่กับโรงเรียนประถมศึกษา ตัวห้องเรียนเองก็มีขนาดไม่แน่นนอน บางแห่งก็เป็นห้องเล็กๆ
มีโต๊ะตัวจิ๋วๆ ตั้งอยู่เต็มห้อง อย่างในตึกที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งดู
เหมือนว่าเป็นพื้นห้องที่เป็นไม้จะต้องแน่นขนัดจนน่ากลัวอันตราย
แต่บางแห่งก็เป็นห้องกว้างเพดานสูงในบ้านของคหบดี ชาวนา
อย่างที่ตำบลที่ปลูกชาใกล้เมืองฮังซอน ซึ่งกว้างขวางใหญ่โตจนจะแทบทำให้เด็กๆ
ที่นั่งล้อมวงกันดูกลายเป็นคนแคะไปเลย
อย่างไรก็ตามในสถานเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาลเหล่านี้ก็จะจัดเป็นเครื่องนอนให้กับเด็กทุกคนได้นอนพักหลังอาหารกลางวัน
และถ้าเด็กที่ยังเล็กก็จะยืดเวลาให้นานขึ้นอีก เด็กๆ
เหล่านี้จะนอนเรียงแถวบนสื่อที่ปูทับพื้นที่ก่อด้วยอิฐ
เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้สถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนนี้
สร้างขึ้นตามขนาดที่เหมาะสมกับเด็ก จะต้องวัดขนาดในการทำม้านั่ง
อ่างล้างหน้าเตี้ยๆ ลาวแขวนผ้าเช็ดตัว ๚ล๚บางแห่งยังจัดหาตุ๊กตาต่างๆ
ที่ผลิตจากโรงงานหรือจักรยานสามล้อไว้ให้เด็กๆเล่นด้วย
การฝึกหัดครู
ในปี ค.ศ.1956 กระทรวงศึกษาธิการได้แวงแผนผลิตครูในทุกระดับสำหรับ
7 ปีใน 1 ล้านคน
แต่จำนวนที่จบจากสถาบันฝึกหัดครูทุกแห่งกับมีจำนวนน้อยมาก บทความในวารสารปฏิรูปจีน
( China
Reconstructs) ประจำเดือนกันยายน 1956
รายงานว่าในปี ค.ศ. 1955
มีบัณฑิตครูจบการศึกษาจำนวน 12‚000 คน
แต่จำนวนครูในโรงเรียนต่างๆ ที่ยังขาดอยู่มีประมาณ “อย่างน้อย 5‚000 คน“
แม้ในปี ค.ศ. 1961 จำนวนบุคลากรที่มีวุฒิเหมาะสมในการดำเนินงานในสถาบันการศึกษาก่อนโรงเรียนก็ยังมีไม่พอเพียง
ครูส่วนมากก็คือพวกแม่บ้านหรือเด็กสาวๆ ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรสั้นๆ มาเท่านั้น
ถึงกระนั้นโรงเรียนอนุบาลที่ก้าวหน้าบางแห่งก็ยังพยายามที่จะบรรจุวิชาพลศึกษา ภาษา
สังคม และธรรมชาติวิทยา ดนตรี และคณิตศาสตร์ เข้าไปในหลักสูตรด้วย
การสอนในระดับอนุบาล กลายเป็นงานที่โก้หรูสำหรับผู้ชายเพราะเชื่อกันว่าผู้หญิงจะทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าผู้ชาย
หลักสูตร
แม้ว่าแนวโน้มหลักคือการเปิดโรงเรียนปกติที่เปิดสอนวันละ 8-10 ชั่วโมงก็ตาม ก็ยังมีบางโรงเรียนที่ใช้ระบบเปิดสอนวันสอนวันละครึ่งวัน
คือ 4 ชั่วโมง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
บางโรงเรียนก็เปิดเป็นโรงเรียนประจำ
ที่รับเลี้ยงเด็กในระหว่างสัปดาห์และกับบ้านได้ในวันหยุด
แต่ในบางกรณีโรงเรียนอนุบาลก็เป็นโรงเรียนที่เปิดดำเนินการเฉพาะช่วงสั้นๆ เช่น
ระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว และเก็บค่าป่วยการเพียงเล็กน้อย แต่ให้พอค่าอาหารเท่านั้น
ในโรงเรียนอนุบาลเหล่านี้
วิธีการสอนที่ใช้เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาพื้นฐานที่กำหนดไว้ในโปรแกรมการเรียนก็คือ
ดนตรี ครูจะใช้สื่อนี้ในการสอน จริยาศึกษา การศึกษา ศรัทธาทางการเมือง
การใช้แรงงาน และสิ่งที่พวกเขา เรียกว่า “การเรียนรู้ที่จะรู้จักกันและกัน”
เมื่อมีการแสดงของเด็กๆ ที่โรงเรียน เด็กๆ จะแต่งหน้าจัดด้วยสีทาแก้ม ลิปสติก
และดินสอเขียนตา
ประเทศจีนมีความคาดหวังสูงในแรงงานที่มีประสิทธิภาพจากประชากรทุกคน
ตั้งแต่ประชากรอายุน้อยที่สุดคือเด็กอนุบาล ทุกคนจะต้องใช้เวลาอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 50 นาที กวาดบ้าน ทำความสะอาด
เพาะเมล็ดพันธ์พืช เตรียมอาหาร หรือทำงานที่ใช้แรงงานอย่างคุ้มค่าอย่างอื่น
กิจกรรมต่างๆ เช่น
การวิ่งแข่ง การเล่น การบริหารร่างกาย และเกมที่มีการออกกำลังกายต่างๆ
จะถูกบรรจุไว้ในตารางกิจกรรมทุกวัน
ทักษะการใช้ภาษาของเด็กจะได้รับการพัฒนาโดยการฝึกสนทนา เล่านิทาน
และร้องเพลงนโยบายการศึกษาโดยทั่ว ๆไป ก็คือ
ไม่สอนการเขียนจนกว่าเด็กจะขึ้นไปเรียนในระดับประถมศึกษา อย่างไรก็ดี
ในการเรียนอนุบาลปีสุดท้าย เด็ก ๆ ก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษรจีน 2-3 ตัว ซึ่งเป็นอักษรสำคัญที่ใช้เขียนนโยบายการเมืองที่สำคัญ ๆ ในโรงเรียนอนุบาลบางแห่ง
เด็ก ๆ จะได้เรียนวิธีจับปากกาอย่างถูกต้อง และสามารถเขียนเส้นหลักๆของตัวอักษรได้
เด็ก 6 ขวบสามารถท่องคำพูดสั้นๆ
ของท่านประธานเหมาเหมาได้คล่อง อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ลืมว่า
จุดประสงค์ทอย่างหนึ่งของการสอนระดับอนุบาลก็คือการให้โอกาสแก้เด็กอย่างเต็มที่ในการพัฒนาความสามารถของเขาโดยปราศจากความกดดันหรือความเครียดในทุกทาง
ในโรงเรียนจะไม่มีรูปภาพหรือของเล่นประเภทสัตว์จริงๆ หรือสัตว์ในจินตนาการ
หรือแม้แต่ตัวละครต่างๆ ในเทพนิยาย รูปภาพอย่างเดียงที่ติดอยู่คือ
รูปของท่านประธานเหมา หรือภาพของโรงงานอุตสาหกรรม ภาพของคอมมูน
หรือภาพของวีรบุรุษแห่งการปฏิวัติเท่านั้น
เด็กเมื่ออายุได้ 3 ขวบ จะไปเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลเพื่อไปวาดภาพ ร้องเพลง
เต้นระบำและเล่นเกมต่างๆ โรงเรียนมักจะมีกำแพงสูงล้อมสนามหญ้าสำหรับเด็กเล่น
การจัดโปรแกรมปรำจำวัน
จากการที่ผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้
ที่โรงเรียนอนุบาลในเขตโฮปิง ในเทียนสิน
ทำให้เห็นได้ว่าโรงเรียนอนุบาลนี้มีการดำเนินการอย่างไร
โรงเรียนที่กล่าวถึงนี้เปิดทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น มีห้องเรียน 8 ห้อง และมีครู 40 คน ของเล่นและอุปกรณ์การเล่นต่างๆคล้ายคลึงกับโรงเรียนอื่นๆ ทั่วไป
มีรถยนต์จำลอง และมีทหารทำด้วยพลาสติก เด็กๆชอบการแสดงประกอบดนตรีต่าง ๆ มาก
เครื่องดนตรีเหล่านี้บางทีก็เป็นที่ทำกันเองไม่ได้ซื้อ
มีเกมเล่นต่าง ๆ มากมาย มีเกมหนึ่งที่เด็ก ๆ
ต้องปิดตาและเอาหัวผักกาดขาวที่ทำด้วยผ้าสักหลาดไปติดบนบอร์ดผ้าสำลี
ตรงที่กระต่ายกำลังจะกินอาหารเย็นหรือเกมตกปลา ที่เด็ก ๆ ต้องใช้เบ็ด สาย
และตะขอใส่ตกปลาที่ผับด้วยกระดาษและใส่ไว้ในสระจำลอง
เกมเหล่านี้ต้องใช้สมาธิอย่างมากทีเดียวเด็กบางคนชอบเล่นใช้ตะเกียบคีบเปลือกหอย
หรือลูกหินออกจากสิ่งอื่น ๆ ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญในการฝึกฝนมาก อีกเกมหนึ่งเด็ก
ๆ จะยืนล้อมเป็นวงกลม และเด็ก 2 คน
ผูกตาและได้รับดอกไม้กระดาษไปถือไว้
เขาจะต้องเริ่มเคลื่อนที่จากตอนใดก็ได้ของวงกลมไปเรื่อย ๆ
และจะต้องนำดอกไม้กระดาษนั้นไปใส่ในหม้อใบหนึ่งใน 2
ใบที่วางอยู่กลางวงกลม ใครที่ใส่ดอกไม้ลงในหม้อได้ก่อน เป็นฝ่ายชนะ
เด็ก ๆ
จะได้มรโอกาสออกไปเยี่ยมชมตามโรงงานและบริเวณชนบททั่วไป
เขามักจะได้ไปเที่ยวตามโรงงานที่ทำงานคล้ายกับที่ทำงานที่ตนกำลังทำอยู่
ซึ่งอาจจะเป็นการทำกล่องรองเท้า หรือการตรวจสอบหลอดไฟฟ้าก็ได้ ด้วยวิธีนี้เด็ก ๆ ก็จะได้รับได้การปลูกฝังให้มีความนับถือและชื่นชมในการทำงาน
และมีหลายครั้งที่คนงานจากคอมมูนจะได้รับเชิญให้ไปพูดเด็ก ๆ ฟัง
เกี่ยวกับงานที่เขาทำอยู่ด้วย
ระเบียบวินัย
ความวุ่นวาย
อยากรู้อยากเห็นของเด็กจะได้รับการขัดขวางอย่างละมุนละม่อม
แต่ก็สามารถจะยุติพฤติกรรมเหล่านั้นได้ในที่สุด เด็กจะมีการรวมกลุ่ม
และเริ่มสร้างสัญลักษณ์ของกลุ่มตั้งแต่ 3 กลุ่มขึ้นไป
เด็กที่ประพฤติผิดไม่ได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง แต่เพื่อน ๆ
จะช่วยกันพูดจาให้เขาตระหนักถึงผลเสียที่ตามมา
และชักชวนให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามกฎของส่วนรวม เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เด็กเล็ก ๆ
จะเดินแถวอย่างเรียบร้อยกลับบ้าน
เขาจะเดินไปพลางร้องเพลงไปพลางจนถึงบ้านแล้วก็แยกย้ายกันไป จากข้อสังเกตของครู
การทำเช่นนี้ช่วยทำให้เด็ก ๆ เข้าใจระเบียบและช่วยขจัดความประพฤติต่างๆ
ที่ไม่เหมาะสมได้เป็นอย่างดี
ครูจะสนับสนุนให้เด็กมีการวิเคราะห์ตนเอง และยอมรับความบกพร่องของตน
เพื่อเขาจะได้ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นวิธีการที่ใช้ง่ายๆ ก็คือ
ถ้าทำอะไรไม่ถูกต้องก็แข้ไขเสีย และระวังอย่าทำอีก ซึ่งตรงกับสุภาษิตที่ว่า “น้ำที่ไหลย่อมไม่เน่าเสีย
และบานพับประตูย่อมไม่มีปลวกขึ้น ” ( Running water is never stale door
hinge is never wormeaten) ซึ่งเขาหมายความว่า
“ทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความสกปรกทางการเมืองและหลีกเลี่ยงความขุ่นมัวในหัวใจได้ก็โดยการหมั่นแก้ไขตัวเองอยู่สม่ำเสมอ”
บทสรุป
นับตั้งแต่การสาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนในปี 1949
เป็นต้นมา
จำนวนโรงเรียนอนุบาลและสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนก็ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เด็กๆ ได้รับการปลูกฝังให้ยึดมั่นในการรับใช้ปวงชน
และได้รับการอบรมสั่งสอนในทุกรูปแบบว่า
ชีวิตในสังคมแบบใหม่นั้นย่อมดีกว่าชีวิตในสังคมแบบเดิม
ที่โรงเรียน
วิชาที่ได้บรรจุในหลักสูตรคือ พลศึกษา ศิลปะภาษา และความรู้ทั่วไป
พลศึกษาจะสอนทักษะทางด้าน สุขนิสัย การเล่นแบบเสรียิมนาสติค และการเต้นรำเข้าจังหวะ
ส่วนศิลปะภาษาจะสอนเกี่ยวกับทักษะการใช้ภาษา เช่น การสนทนา และการเล่านิทาน
เป็นต้น
คุณภาพของการศึกษาในโรงเรียน มีตั้งแต่การเรียนการสอนในโรงเรียนอนุบาล
ในเมืองที่มีการจัดการโดยมืออาชีพ ไปจนถึงการดูแลธรรมดา ๆ
ในขณะที่แม่ของเด็กไปทำงานในโรงเรียนอนุบาล
การจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กจะยึดนโยบาย 3 อย่าง คือ “ เล่น
เรียน และทำงาน ” การทำงานในระดับนี้ก็ได้แก่
การให้เด็กดูแลทำความสะอาดเครื่องเรือน เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ
และดูแลให้อาหารสัตว์เลี้ยง
ปรัชญาทางการศึกษาปฐมวัยของจีน คือ การฝึกเด็กให้มีความรักและศรัทธาให้ผู้นำพรรคปิตุภูมิ
ลัทธิสังคมนิยม ระบบคอมมูนของปวงชน การใช้แรงงาน วิทยาศาสตร์
และความรุ่งเรืองของส่วนรวม รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ
เป็นผู้นำขององค์กรการศึกษาต่างๆ
องค์การนี้ประกอบด้วยคนงานจากคอมมูนทั้งในชนบทและในเมือง
เด็กๆชาวจีนจะไปเข้าสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน ก็ต่อเมื่อไม่มีย่า ยาย
หรือ ป้า คอยดูแลอยู่ทางบ้าน แต่ถึงแม้ว่าจะมีพวกคนสูงอายุมาปลูกฝังความคิด
ความชื่นชมในการปฏิวัติไว้ในจิตใจของเด็กๆ ทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ
แต่คนพวกนี้ก็อาจจะเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังด้วยไม่ได้
การฝึกหัดครูจะดำเนินไปตามปรัชญาการศึกษาของท่านประธานเหมา ซึ่งไม่มีปรัชญา
อื่นจะเทียบทานได้
สิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับปรัชญาของท่านประธานจะต้องถูกตัดทิ้งไปทันที
สถานที่ที่ใช้สอน
มีตั้งแต่บ้านหลังใหญ่ไปจนถึงห้องที่แบ่งให้ใช้ในโรงเรียน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ก็จะต้องมีรูปท่านประธานเหมา และผู้นำกรรมการในท้องถิ่นติดอยู่ด้วยเสมอ พวกเด็กๆ
มีจักรยานและแท่งอิฐบล็อกที่ใช้ต่อเป็นรูปร่างต่างๆ
แต่ไม่มีตุ๊กตาหรือของเล่นที่เป็นตัวละครในเทพนิยายหรือสัตว์ในจินตนาการเลย
เด็กๆ
มักจะเล่นและอยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่ค่อยมีการแยกตัวออกไปคนเดียวในสถาบันเหล่านี้
ซึ่งมีทั้งโรงเรียนประจำและสถานดูแลเด็กกลางวันซึ่งเปิดทำการสอนหรือดูแลเด็กเป็นเวลา
4 ถึง 10 ชั่วโมงต่อวัน
ในปี ค.ศ. 1949 จีนมีอัตราผู้รู้หนังสือร้อยละ 20 แต่ในปัจจุบันจีนอวดได้ว่าสถิติผู้รู้หนังสือจีนมีร้อยละ 80-90 แล้ว ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงมาก
และเกิดมาจากการที่ท่านประธานเหมาดึงดันให้กับการสนับสนุนกลุ่มคนงานและพวกชาวนาให้ได้เรียนหนังสือ
บรรดาคนที่อยู่ตามไร่นาในปัจจุบันจึงไม่ใช่แต่จะใช้แรงงานในชนบทอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังเป็นคนที่มีการศึกษาด้วยเช่นกัน